ChatGPT ของ OpenAI หรือ Gemini (อดีต Bard) ของ Google ราวกับเป็น “เทพเจ้า” ที่ทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่เขียนโค้ด แต่งกลอน ไปจนถึงวางแผนธุรกิจ เปรียบเสมือน “มีดพับสวิส” (Swiss Army Knife) ที่พกอันเดียวอุ่นใจไปได้ทุกที่
แต่ในโลกการทำงานระดับมืออาชีพ บางครั้ง “มีดพับ” ก็ไม่สามารถตัดต้นไม้ใหญ่ได้ เราต้องการ “เลื่อยไฟฟ้า” ที่ทรงพลังและออกแบบมาเพื่องานนั้นโดยเฉพาะ
ปี 2025 คือปีแห่งการผงาดของ “Niche AI” หรือ “Vertical AI” ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกเทรนมาอย่างเข้มข้นในศาสตร์เฉพาะด้าน เพื่อเจาะลึกในสิ่งที่ AI ทั่วไป (General Purpose LLMs) ทำไม่ได้ บทความนี้จะพาคุณลงสู่สมรภูมิ AI เฉพาะทาง รีวิวตัวตึงในแต่ละวงการที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
1. สมรภูมินักเขียนโค้ด
ChatGPT เขียนโค้ดได้ แต่ Niche AI “เข้าใจ” ระบบวิศวกรรมซอฟต์แวร์
ผู้ท้าชิง: Cursor
ขณะที่ GitHub Copilot เป็นเพียงส่วนเสริม (Extension) แต่ Cursor คือ Code Editor (IDE) ที่สร้างขึ้นใหม่โดยมี AI เป็นแกนกลาง (AI-native)
จุดเด่น Cursor ไม่ได้แค่อ่านไฟล์ที่คุณเปิดอยู่ แต่มันเข้าใจ “ทั้งโปรเจกต์” (Entire Codebase) มันรู้ว่าฟังก์ชัน A ในไฟล์นี้ ไปเชื่อมกับ Database B ในอีกไฟล์หนึ่งได้อย่างไร ทำให้การ Refactor code หรือแก้บั๊กซับซ้อนแม่นยำกว่า ChatGPT มหาศาล
เหมาะกับใคร Software Engineer ที่ต้องการเขียนโค้ดเร็วขึ้น 30-50% และเบื่อกับการก๊อปวางโค้ดไปมาใน ChatGPT
2. สมรภูมินักวิจัยและวิชาการ
ChatGPT มักจะ “มั่ว” (Hallucinate) แหล่งอ้างอิง แต่ Niche AI ยืนยันด้วย “Fact”
ผู้ท้าชิง: Perplexity & Consensus
Perplexity AI เป็นลูกผสมระหว่าง Search Engine และ AI มันไม่ได้สร้างคำตอบจากความว่างเปล่า แต่ค้นหาข้อมูล Real-time จากเว็บ แล้วสรุปพร้อม “Footnote” (เลขอ้างอิง) ให้คุณกดเข้าไปเช็กต้นทางได้ทันที เหมาะกับการหาข้อมูลที่ต้องการความถูกต้องสูง
Consensus: นี่คือ AI สายวิชาการตัวจริง มันถูกเทรนด้วยข้อมูลจากงานวิจัย (Research Papers) กว่า 200 ล้านฉบับ เมื่อคุณถามคำถาม เช่น “Creatine ทำให้ผมร่วงจริงไหม?” มันจะไม่ออกความเห็นเอง แต่จะสรุปจากงานวิจัยว่า “70% ของงานวิจัยบอกว่าไม่จริง” พร้อมแปะลิงก์ Paper ให้
เหมาะกับใคร นักศึกษา, นักวิจัย, นักเขียนบทความสายวิชาการ ที่ต้องการความน่าเชื่อถือระดับสูง
3. สมรภูมิงานภาพและดีไซน์ (The Visual Studio)
ChatGPT (DALL-E 3) ใช้งานง่าย แต่ Niche AI มอบ “ความควบคุม” (Control) ที่เหนือกว่า
ผู้ท้าชิง: Midjourney & Leonardo.ai
Midjourney: ยังคงครองบัลลังก์เรื่อง “ความสวยงามทางศิลปะ” (Aesthetics) ที่ AI ตัวอื่นยังตามไม่ทัน ภาพที่ได้มีความเป็นศิลปะสูง แสงเงาสมจริง และมีสไตล์ที่โดดเด่น
Leonardo.ai: จุดเด่นคือฟีเจอร์สำหรับมืออาชีพ เช่น Image Guidance (ควบคุมท่าทางตัวละครให้เหมือนต้นแบบ), Real-time Canvas (วาดไป AI เจนไป) และความสามารถในการเทรน Model ด้วยรูปสินค้าของเราเอง เพื่อให้เจนภาพสินค้าออกมาได้เป๊ะทุกครั้ง
เหมาะกับใคร: กราฟิกดีไซเนอร์, คอนเซปต์อาร์ติสต์, และนักการตลาดที่ต้องการภาพระดับ Production Grade
4. สมรภูมิกฎหมายและการแพทย์ (The Professional Guilds)
วงการที่ “ความผิดพลาด” เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ผู้ท้าชิง: Harvey (กฎหมาย) & Med-PaLM (การแพทย์)
Harvey: AI ที่สร้างมาเพื่อสำนักงานกฎหมายโดยเฉพาะ ร่วมมือกับ OpenAI แต่ปรับแต่ง (Fine-tune) ด้วยข้อมูลกฎหมายมหาศาล ช่วยทนายความร่างสัญญา วิเคราะห์คดี และตรวจสอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยมีความปลอดภัยของข้อมูล (Data Privacy) สูงกว่า ChatGPT ทั่วไป
เหมาะกับใคร: ทนายความ, ที่ปรึกษาทางกฎหมาย
ทำไม Niche AI ถึงชนะในระยะยาว?
Context Window & Data: Niche AI ถูกเทรนด้วยข้อมูลเฉพาะทางที่ “สะอาด” (Clean Data) และลึกซึ้งกว่า ทำให้เข้าใจศัพท์เทคนิคและบริบทของงานนั้นๆ ได้ดีกว่าเป็ดอย่าง ChatGPT
Workflow Integration: Niche AI มักจะฝังตัวอยู่ในเครื่องมือที่เราใช้อยู่แล้ว (เช่น Cursor ฝังใน Editor, Leonardo มี Canvas) ทำให้ทำงานได้ลื่นไหล ไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา
Less Hallucination: เมื่อขอบเขตความรู้อยู่ในวงจำกัด (เช่น เฉพาะงานวิจัย หรือเฉพาะกฎหมาย) โอกาสที่ AI จะฟุ้งซ่านตอบเรื่องไร้สาระก็น้อยลง
สงคราม AI ครั้งนี้ไม่มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ในอนาคตเราจะไม่ได้ใช้แค่ ChatGPT ตัวเดียวทำทุกอย่าง แต่เราจะมี “กล่องเครื่องมือ” (Toolbox) ที่เต็มไปด้วย AI เฉพาะทาง
จะเขียนอีเมลหาบอส? ใช้ ChatGPT/Gemini
จะแก้โค้ดหลังบ้าน? ใช้ Cursor
จะหาอ้างอิงทำวิทยานิพนธ์? ใช้ Consensus
จะเจนภาพโฆษณา? ใช้ Midjourney
การรู้ว่า “งานไหน ควรใช้เครื่องมืออะไร” จะกลายเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดของคนทำงานยุคต่อไป ไม่ใช่แค่การรู้ว่า AI คืออะไร แต่คือการรู้ว่า “AI ตัวไหน คือตัวจริงของงานคุณ”

